Loading ...

ไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมได้อ่านข่าวความเคลื่อนไหวชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับช่วงเทศกาลวันวาเลนไทน์ ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับการจัดเทศกาลคานิวัลอันโด่งดังของประเทศบราซิล โดยมีการพาดหัวข่าวว่า บราซิลแจกถุงยางอนามัย 55 ล้านชิ้นในเทศกาลคานิวัล

แล้วมีการขยายความว่า ริโอ เดอ จาเนโร เจ้าหน้าที่สุขภาพชาวบราซิล เริ่มต้นการรณรงค์สร้างความตระหนักเรื่องเอดส์ และจะดำเนินการแจกจ่ายถุงยางอนามัยจำนวน 55 ล้านชิ้นในช่วงเทศกาลคานิวัล โดยโฆษณาใหม่ในรายการทางทีวี จะมีการพูดถึงถุงยางอนามัยให้ชัดๆ เพื่อเตือนให้วัยรุ่นพกพาถุงยางอนามัยไปด้วยเมื่อออกไปร่วมงานปาร์ตี้

และนายโฮเซ่ เท็มโปรัล รัฐมนตรีสาธารณสุขของบราซิล ได้ออกมาพูดว่า การรณรงค์ในปีนี้จะมุ่งเน้นไปที่การให้การศึกษาแก่วัยรุ่นหญิงและเกย์ให้ใช้เครื่องมือการป้องกัน โดยมีสโลแกนว่า ถุงยางอนามัย (ไม่ว่าจะเพื่อ) ความรัก ความเมตตา หรือแม้เพียงแค่เซ็กส์ ก็ให้ใช้มันทุกครั้ง

แม้ว่าในปีนี้รัฐบาลจะไม่ได้บอกชัดเจนว่าจะแจกจ่ายถุงยางอนามัยออกไปจำนวนเท่าไหร แต่ปีที่แล้วรัฐบาลได้แจกจ่ายถุงยางอนามัยฟรีออกไปเกือบ 500 ล้านชิ้น ทั่วประเทศบราซิล หรือคิดเฉลี่ยได้ว่า ประชาชนบราซิลจะได้รับถุงยางเฉลี่ย 2.6 ชิ้นต่อคน

สำหรับในบ้านเรา ในช่วงวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมา ผมได้ยินผู้ประกาศข่าวทางสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งรายงานว่ามีเสียงแสดงความไม่เห็นด้วยกับ การรณรงค์ของรัฐบาลในวันวาเลนไทน์ แล้วก็อ้างถึง คน 2 คน โดยนักข่าวเรียกคนแรกว่า เจ้เบียบ” (คุณระเบียบรัตน์ พงค์พานิช) และ อ.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์จากจุฬาฯว่าทั้งสองให้ความคิดเห็นว่า
* การรณรงค์มุ่งเน้นไปในเรื่องเพศสัมพันธ์ของวัยรุ่นมากเกินไป
* การรณรงค์มุ่งเน้นไปที่การแจกจ่ายถุงยางอนามัย

พร้อมกับบอกว่ามีข้อเสนอว่า แทนที่จะมุ่งไปในทิศทางดังกล่าว รัฐบาลน่าจะให้ความสำคัญกับเรื่อง
* การรณรงค์เรื่องความรักของครอบครัว เป็นเรื่องของพ่อ แม่ ลูก ก็ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่กว้างไปกว่าเรื่องเพศสัมพันธ์ของวัยรุ่น และ
* แทนที่จะมุ่งเน้นเรื่องการแจกถุงยางอนามัย ก็น่าจะส่งเสริมเรื่อง การรักนวลสงวนตัวดีกว่า

ผู้ประกาศข่าวช่องนั้น ไม่ได้ให้รายละเอียดว่า ใคร/คนใดวิจารณ์หรือให้ข้อเสนอใด เพราะเป็นการพูดรวมๆ ไป เนื้อข่าวมีแค่นั้นเองครับ อีกทั้งยังเป็นเวลาสั้นๆ เพียง 2 – 3 นาที ที่ผู้ประกาศข่าวพูดถึงเรื่องนี้ก่อนไปพูดเรื่องอื่นต่อ แต่ผมเอาเรื่องนี้มาคิดต่อครับว่า การเสนอข่าวแบบนี้ อาจเป็นอคติของการทำข่าว ที่พยายามสร้าง คู่ความคิดเห็นตรงข้าม โดยอ้างหลักการว่า ต้องมีมุมมองข่าวให้รอบด้าน แต่บ่อยครั้งคำว่ารอบด้าน มักจะเป็น ความคิดเห็นตรงกันข้าม แบบขัดแย้งกันด้วย ซึ่งส่งผลกระทบให้สังคมไม่ได้เรียนรู้อะไรมากไปกว่า ต้องเลือกข้าง ว่าชอบหรือไม่ชอบความคิดเห็นข้างใด

แต่หากไม่ใช่อคติของผู้ประกาศข่าว ก็เป็นไปได้ว่า...

สังคมของเรายังมองเรื่องเพศแบบแยกข้าง แยกส่วนจากกัน แล้วก็พยายามเสนอความคิดเห็นของตนเองเป็นหลัก อยู่กันคนละส่วน คนละพื้นที่ คนละมุม โดยไม่มีการสร้างพื้นที่ตรงกลางในเรื่องเพศขึ้นมาเลย ราวกับว่า ต้องเลือกเอาว่าจะเสนอเรื่อง เพศสัมพันธ์กับถุงยาง หรือว่า เสนอเรื่อง ความรักบริสุทธิ์กับการรักนวลสงวนตัว (ของเด็กผู้หญิงด้วยเท่านั้น)

เรามีพื้นที่ตรงกลางจริงๆ ไหมครับ
เรามีทางเลือกเรื่องเพศสัมพันธ์ที่กว้างขวาง จริงๆ หรือเปล่าครับ และเราควรแจกจ่ายถุงยางอนามัยในสังคมดีไหมครับ



ความคิดเห็นที่  7

สังคมไทยยังคงมองคนในกลุ่มวัยรุ่นตามทัศนะคติดั้งเดิมว่าเด็กต้องไม่รู้ ไม่เดียงสาในเรื่องนี้ และแก้ปัญหาบนทัศนะคติที่เชื่อนั้น แทนที่จะมองตามสภาพความเป็นจริงว่าควรจัดการอย่างไร

นักรบนิรนาม   (13 กันยายน 2554  เวลา 20:31:37)

ความคิดเห็นที่  6

พอรู้ไปวันๆ

สtoเuoรี่   (21 สิงหาคม 2553  เวลา 20:18:46)

ความคิดเห็นที่  5

ดีคร้า

สตอเบอรี่เบอรี่   (21 สิงหาคม 2553  เวลา 20:15:46)

ความคิดเห็นที่  4

มีความเห็นแนวเดียวกับ บทความนี้ค่ะ ว่าสังคมไทยยังคงมองคนในกลุ่มวัยรุ่นตามทัศนะคติดั้งเดิมว่าเด็กต้องไม่รู้ ไม่เดียงสาในเรื่องนี้ และแก้ปัญหาบนทัศนะคติที่เชื่อนั้น แทนที่จะมองตามสภาพความเป็นจริงว่าควรจัดการอย่างไรค่ะ

อยากเป็นคนหนึ่งที่แสดงความเห้นและช่วยสังคมในเรื่องนี้ค่ะ

คนๆหนึ่งที่ใส่ใจปัญหา   (24 มีนาคม 2553  เวลา 23:16:31)

ความคิดเห็นที่  3

เมื่อถึงวันวาเลนไทน์ในแต่ละปี วัยรุ่นจะพูดว่าวันนี้เป็นวันแห่งความรัก โดยที่ไม่รู้เลยว่าสาเหตุที่ต้องมีวันนี้เพราะสาเหตุใด ไม่ศึกษากลับตีความไปว่าวันนี้เป็นวันที่คู่รักจะต้องมีความสัมพันธ์ทางเพศกัน คู่รักคู่ไหนไม่ยอมมีความสัมพันธ์กับคู่รักของตนถือว่าเขาหรือเธอคนนั้นทรยศต่อความรัก มันเป็นสิ่งที่มนุษย์เลียนแบบสัตว์เดรัจฉาน สำซ่อนทางเพศแล้วก็สุดเวี่ยงไปเลยกับเรื่องนี้ ซึ่งมันผิดต่อศีลธรรม ผิดต่อวัฒนธรรม จะว่าก็ได้ว่าผิดต่อประเพณ๊(ของไทย)และที่ใญ่กว่านั้นคือ มันขัดต่อหลักความเชื่อหลักศรัทธาของศาสนา ที่มาของการเลียนแบบนี้คือพวกตะวันตกเอามาเผยแพร่และส่งต่อให้กับเยาวชนของเราผ่านทางหนัง สื่อ ภาพยนตร์ อินเทอเน็ต ฯลฯ มันเป็นที่น่าพอใจ น่าหัวเราะอย่างนั้นหรือที่ ช่วงเทศกาลวันวาเลนไทน์โรงแรมถูกจองเต็ม ถุงยางอนามัย ยาคุมกำเนิดแบบฉุกเฉินขายดีในช่วงนี้เป็นที่น่าภูมิใจหรือครับ แล้วสิ่งเหล่านี้มันก็แพ่ไปถึงนักเรียนมัธยมต้น ซึ่งไม่สามารถเข้าไปจองห้องพักในโรงแรมได้ จึงเช่ารถตู้ แล้วก็หารกันจ่ายค่ารถตู้ แล้วก็สุดเวี่ยงกับเรื่องนี้ในรถตู้นั้น นี่มันอะไรครับ เราบอกตัวเองว่าเป็นสัตว์ที่ประเสริฐ เป็นสิ่งมีชีวิตที่ฉลาดที่สุดในโลก แต่ทำไมเรายังทำตัวของเราเองเหมือนสัตว์เดรัจฉาน นี่แหละคือสิ่งที่ชี้วัดว่าสังคมไทยได้ลอกเลียนแบบวัฒนธรรมตะวันตกมาเต็มๆ แล้วก็เริ่มดิ่งลงสู่ความตกต่ำตามพวกตะวันตกขึ้นทุกวันทุกวัน
ความตกต่ำของสังคมนี้วันนี้ก็ดูจากข่าวที่เกิดขึ้นรายวันเกี่ยวกับเรื่องข่มขืน เรื่องตัณหาราคะต่างๆ ทำไมเราถึงไม่ลองไปดูประเทศที่เขาไม่มีข่าวพวกนี้เป็นรายวัน ดูเพื่อนบ้างของเราใกล้ๆ ไม่ต้องไปไกล บรูไน มาเลเซีย บ้างเมืองเขาไม่ค่อยมีเหตุการณ์อย่างนี้แบบนี้เกิดขึ้น เมื่อมีเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นทีก็ฮือฮากันไปหลายสัปดาห์แต่นี่ประเทศไทยเกิดขึ้นทุกวัน กลับไม่รู้สึกสะทกสะท้านอะไรเลย แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของระดับคุณภาพของสังคม เคยไปว่าเขาว่าประเทศล้าหลัง โบยหวาย แล้วดูตัวเองสิ ใครกันแน่ที่ล้าหลังครับ ?"ผมอยู่อีเทคปี6ตกมาหลายปีแล้วคับอยากจบสักทีทำไมมันไม่จบ

เฟย2   (18 มีนาคม 2553  เวลา 11:36:50)

ความคิดเห็นที่  2

ไม่รู้เรื่องเลยวะ
อยากจังนะ
อ่านไม่ออกเลย
ผมมันลูกขึ้นอิตาลี
เขรม

gap   (18 มีนาคม 2553  เวลา 11:32:38)