Loading ...

            วันนี้เรามีบุคคล 3 ท่านมาแนะนำให้รู้จัก บางท่านคุณผู้อ่านรู้จักดีอยู่แล้ว บางท่านอาจจะไม่เป็นที่รู้จัก  แต่เพศภาวะและเพศวิถีที่ทั้ง 3 ท่านมีเหมือนกันก็คือ เป็นกะเทยที่ใช้ชีวิตอยู่กับผู้หญิง หรือเป็นกะเทยที่ชอบผู้หญิง ทั้งสามท่านมีความเป็นไปมากกว่าแค่กะเทยที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
 

            ที่ผ่านมา อาจารย์ยิ่งศักดิ์ จงเลิศเจษฎาวงศ์ พ่อครัวและพิธีกรชื่อดังได้ออกมาเปิดเผยชีวิตครอบครัวให้ฟังในรายการ Club Friday Show (23 มกราคม 2559) ว่าอาจารย์มาจากครอบครัวชาวจีนจึงถูกคาดหวังจากคุณพ่อว่าต้องมีลูกหลานสืบสกุล  สิ่งนี้กดดันและหล่อหลอมอาจารย์มาตั้งแต่เล็กว่าโตขึ้นต้องมีครอบครัวและลูกหลานไว้สืบสกุล  ในขณะที่คุณพ่อเป็นคนเกลียดกะเทย ไม่ต้องการให้ลูกชายเรียนทำขนมเพราะจะทำให้ลูกชายกลายเป็นกะเทยในมุมมองของพ่อ

 

ภาพจากรายการ Club Friday Show

 

          ถึงแม้จะถูกห้ามเรียนทำขนมแต่ในที่สุดหลังจากเรียนจบปริญญาตรีอาจารย์ก็ได้ไปเรียนทำขนมที่สิงคโปร์อันเป็นเหตุให้อาจารย์ได้พบกับ “คุณเมย์”  ผู้จัดการโรงเรียนทำขนมชาวสิงคโปร์ คุณเมย์รู้สึกชอบ อ.ยิ่งศักดิ์เพราะเห็นว่าอาจารย์แตกต่างจากผู้ชายคนอื่น ๆ ตรงที่เป็นผู้ชายที่นุ่มนวล สะอาด เรียบร้อย และโรแมนติก
 

          ในมุมมองของ อ.ยิ่งศักดิ์ไม่ได้มองว่านั่นคือความรักแต่รู้ว่าคุณเมย์เป็นคน ๆ เดียวที่เป็นเพื่อนที่ดีที่สุด ณ เวลานั้น ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปจนบัดนี้อาจารย์นิยามความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับคุณเมย์ว่า  “ในวันนี้ถ้าไม่มีเขา เราก็ไม่น่าจะอยู่ได้  คุณเมย์คือคนที่เราอยู่ด้วยแล้วมีความสุขที่สุด มันเป็นความเข้าใจ
 

          ปัจจุบัน อ.ยิ่งศักดิ์ใช้ชีวิตคู่กับคุณเมย์มาแล้ว 30 ปี มีบุตรสองคนเป็นชายและหญิง ทั้งคู่โตเป็นผู้ใหญ่เรียนจบปริญญาโททั้งสองคน
 

          สิ่งที่ อ.ยิ่งศักดิ์กังวลคือลูกทั้งสองคนจะรับได้ไหมที่พ่อมีบุคลิกแบบนี้  อาจารย์เปิดใจว่า “พ่อพิการ พ่อปากเบี้ยว พ่อเป็นสันนิบาตชักกระตุกหรือเป็นอะไรก็ตามล้วนเป็นปมด้อยทั้งสิ้น  แต่เราอย่าไปมองแล้วโฟกัสที่ปมด้อย  เราพยายามทำสิ่งที่ดีที่สุดคือหน้าที่ของเราและความรักที่มีให้ลูก”
 

          “เราไม่ได้เป็นพ่อที่หล่อเหลาดูแมนที่สุดที่ลูกจะภูมิใจ  แต่เราอยากให้ลูกรู้ว่าในชีวิตของเขามีพ่อคนนี้รักเขามากที่สุดและไม่มีใครรักเขาได้มากเท่าเรา  ...  ตลอดเวลาเราจะไม่ทำให้ลูกต้องอายคน  เราถึงขยัน  ตั้งใจทำงาน  สร้างชื่อเสียง  ทำทุกอย่าง  หน้าที่ของเรา ๆ กล้าพูดได้เลยว่าผู้ชายแมน ๆ ที่เขามีลูกบางคนอาจทำหน้าที่พ่อไม่ดีเท่ายิ่งศักดิ์”
 

          อาจารย์ให้คำแนะนำลูกที่มีพ่อที่แตกต่างว่า  “ไม่อยากให้ลูกทุกคนมองในสิ่งที่พ่อขาดและไม่เหมือนคนอื่น แต่อยากให้ลูกมองในสิ่งที่พ่อตัวเองมีและได้รับจากพ่อ  แล้วลูกจะรู้ว่าลูกได้รับจากพ่ออย่างล้นเหลือแล้ว”

 

-------------------------------------------------------------------------

 

          นั่นเป็นเรื่องราวความรักและชีวิตครอบครัวของ อ.ยิ่งศักดิ์  ท่านถัดไปมีชีวิตครอบครัวคล้าย ๆ อ.ยิ่งศักดิ์แต่มีความแตกต่างในรายละเอียด  นั่นคือ  “คุณลิซ่า”  คุณลิซ่าได้เปิดเผยเรื่องราวของเธอผ่านรายการ  “ผู้หญิงถึงผู้หญิง”  ซึ่งออกอากาศไปเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2559 ที่ผ่านมา
 

          ลิซ่าแนะนำตัวเองว่าเธอเป็น “กะเทยเลสเบี้ยน”  เป็นกะเทยที่ชอบผู้หญิง  เธอเริ่มต้นเล่าเรื่องราวว่าเธอรู้ตัวเองตั้งแต่เล็ก ๆ ว่าเธอมีจิตใจเป็นผู้หญิงในร่างกายของเด็กผู้ชาย  เธอชอบเล่นอะไรในแบบที่เด็กผู้หญิงเล่นกัน  ไม่ชอบเล่นฟุตบอลไม่ชอบเล่นอะไรแรง ๆ แบบเด็กผู้ชายและไม่ชอบเด็กผู้ชาย  พอเธอไปเข้ากับกลุ่มเด็กผู้หญิงก็มักถูกเพื่อนในห้องล้อว่าเป็นกะเทย  ลิซ่าไม่อยากถูกล้อว่าเป็นกะเทยและไม่อยากให้ทางบ้านหรือใคร ๆ รู้ว่าเป็นกะเทยจึงหันไปเข้าห้องสมุดแทน  ลิซ่าหันไปอ่านหนังสือมีหนังสือเป็นเพื่อน  หรือไม่ก็ไปเข้าชมรมให้ความสนใจกับกิจกรรมในโรงเรียน  เวลานั้นลิซ่ารู้สึกเหงาและโดดเดี่ยวเพราะไม่รู้จะเข้ากับเพื่อนกลุ่มไหนดี  ลิซ่ามีเพื่อนสนิทที่เข้าใจ เพียงไม่กี่คน
 

          ลิซ่าใช้ชีวิตโดดเดี่ยวในวัยเรียนจนกระทั่งเข้ารั้วมหาวิทยาลัยซึ่งตอนนั้นอายุ 18 ก็เริ่มหันมาแต่งตัวให้ดูเป็นผู้หญิงมากยิ่งขึ้น  ไว้ผมยาว  สวมเสื้อฟิต ๆ  กางเกงนักศึกษารัดรูป  แต่ปรากฏว่าเธอแต่งออกมาแล้วดูไม่สวยไม่เข้ากับรูปลักษณ์ที่ยังมีความเป็นผู้ชายก็เลยเปลี่ยนตัวเองให้ดูแมน ๆ ไปเลย  เธอจึงหันไปเล่นกล้ามแล้วปิดบังตัวตนภายในไม่ให้ใครรู้อีกเลยว่าเป็นกะเทย
 

          หลังจากจบปริญญาตรี  ลิซ่าอายุครบ 21 ปี ก็ไปบวชพระเป็นเวลา 45 วัน ต่อจากนั้นลิซ่าก็ไปสมัครเป็นทหารเกณฑ์ 1 ปีตามกฎหมายที่ชายไทยต้องเป็นทหาร หลังจากปลดจากทหารลิซ่าไปทำงานเป็นหนุ่มออฟฟิศในบริษัทแห่งหนึ่ง  ที่นั่นลิซ่าได้พบกับพนักงานออฟฟิศสุภาพสตรีท่านหนึ่งดูดี เก่ง สง่า เพอร์เฟ็ค  ลิซ่าตกหลุมรักอยากรู้จักอยากมีชีวิตร่วมกับเธอก็เลยจีบเธอคนนั้นจนกลายมาเป็นแฟนกัน  ระหว่างนั้นฝ่ายหญิงสงสัยระแคะระคายจึงถามลิซ่าตรง ๆ ว่าเป็นเกย์หรือกะเทย  เวลานั้นลิซ่าเลี่ยงตอบไปว่าเราเป็นผู้ชายเรียบร้อย  ในที่สุดทั้งคู่ก็แต่งงานกัน
 

          หลังจากแต่งงานได้ไม่นานลิซ่าก็ลาออกจากการเป็นพนักงานออฟฟิศแล้วหันไปสมัครสอบรับราชการเป็นทหารอากาศ  ในเวลาเดียวกันชีวิตคู่ผ่านไป 1 ปีภริยาตั้งครรภ์ให้กำเนิดทารกเป็นผู้หญิงหนึ่งคน  ชีวิตการเป็นทหารของลิซ่าผ่านไปเกือบ 3 ปี มีปัญหาบางประการเข้ามานั่นคือมีทัศนคติที่ไม่ตรงกันกับผู้บังคับบัญชาจึงทำให้ลิซ่าตัดสินใจลาออกจากการเป็นทหาร   การลาออกจากทหารของลิซ่าในครั้งนั้นเป็นเหมือนจุดเปลี่ยนของชีวิตที่ทำให้ลิซ่าตัดสินใจเป็นตัวของตัวเองเป็นลำดับถัดมา

 

ลิซ่าตอนเป็นทหารอากาศ / ลิซ่าในปัจจุบัน
(ภาพจากเว็บเพจ "ผู้หญิงถึงผู้หญิง")

 

          ลิซ่าให้สัมภาษณ์ว่าหากไม่มีความขัดแย้งในงานราชการที่ทำอยู่ลิซ่าก็สามารถเป็นทหารแมน ๆ ต่อไปได้เรื่อย ๆ โดยไม่รู้สึกติดขัดอะไร  เมื่อออกจากราชการทหารลิซ่าก็ไปเปิดร้านอาหารเล็ก ๆ ระหว่างนั้นลิซ่าก็มีความคิดเข้ามาในห้วงคำนึงว่าลิซ่าควรเป็นตัวของตัวเองได้แล้วเพราะทหารก็เป็นมาแล้ว  แต่งงานมีครอบครัวมีลูกก็มีมาแล้ว  บวชเป็นพระก็บวชมาแล้ว  ทำทุกอย่างที่ผู้ชายทำมาหมดแล้ว  ที่เหลือคือการได้เป็นตัวของตัวเองโดยลิซ่ายังคงมีครอบครัวและยังคงรับผิดชอบครอบครัวอยู่
 

          เมื่อคิดได้ดังนั้นลิซ่าจึงตัดสินใจบอกคุณพ่อคุณแม่ตามตรงว่าลิซ่าต้องการเป็นตัวของตัวเองซึ่งท่านทั้งสองก็ไม่ปฏิเสธ
 

          ในส่วนของภริยาเมื่อทราบความจริงก็ช็อค  และเสียความรู้สึกว่าทำไมไม่บอกเธอตั้งแต่แรก  ลิซ่าตอบภริยาว่าตนเอง "เสียใจ" และ "ขอโทษ" ที่ปฏิเสธความจริงกับภริยาตั้งแต่ต้นและต้องหลอกตัวเองมานาน  แต่ภริยาก็ทำใจไม่ได้ ในที่สุดทั้งคู่ก็ไม่ปริปากพูดคุยกันอีกเลยแม้จะอยู่ภายในบ้านหลังเดียวกัน  ภริยาได้แต่รำพึงว่าคิดถึงสามีที่เคยแต่งงานด้วย  ลิซ่าให้สัมภาษณ์ว่า  “อยากบอกภริยาว่า ฉันคือเขา เขาคือฉัน เราคือคน ๆ เดียวกัน”
 

          จากนั้นลิซ่าเริ่มเทคฮอร์โมน กล้ามเนื้อแบบผู้ชายก็ค่อย ๆ หายไป  เริ่มมีเอว  มีหน้าอก  สะโพก  ผิวและผมก็ดูดีขึ้น   ในส่วนของลูกภริยาบอกเสมอว่ากลัวลูกอาย กลัวลูกมีปมด้อย กลัวสังคมไม่ยอมรับ  ในส่วนของลิซ่าเธอไม่เคยกังวลว่าลูกจะไม่ยอมรับเพราะเชื่อมั่นว่าลูกยอมรับเธอได้แน่นอน  ลิซ่าให้เหตุผลว่านี่คือลูกเรา ลูกเราย่อมเข้าใจเรา เราให้ความสำคัญกับลูก  วิธีการของลิซ่าคือเธอยังคงทำหน้าที่พ่อด้วยการใกล้ชิดกับลูก อาบน้ำให้ลูก สระผมให้ลูก เล่านิทานให้ลูกฟัง  เอาใจใส่ลูก  เล่นกับลูก ทำให้ลูกรู้สึกอบอุ่นและใกล้ชิด นี่เป็นวิธีการที่ทำให้สายใยระหว่างพ่อกับลูกผูกพันกัน

          ปัจจุบันลูกสาวอายุ 4 ขวบ ลูกเห็นความเปลี่ยนแปลงของป่าป๊าจากผู้ชายกลายมาเป็นผู้หญิง  วันหนึ่งลูกสาวถามลิซ่าว่า "ป่าป๊าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง"  ลิซ่าตอบลูกสาววัย 4 ขวบว่า "ป่าป๊าเป็นผู้ชายจ้ะ"  แล้วลูกสาวก็ไม่ถามอะไรป่าป๊าต่อ

 

          ปัจจุบันลิซ่าอายุ 30 ปี เป็นพนักงานบริษัทจำหน่ายเครื่องดนตรีแห่งหนึ่ง ลิซ่ากับภริยาหันกลับมาพูดคุยเพื่อทำความเข้าใจกันหลังจากไม่ได้พูดคุยกันเป็นเวลา 6 เดือน  ทั้งคู่ยังคงอยู่บ้านหลังเดียวกันและทำหน้าที่พ่อแม่ที่ดีให้กับลูกต่อไป

 

----------------------------------------------------------------------------

 

          ท่านสุดท้ายเป็น “กะเทยเลสเบี้ยน” ที่ออกมาเปิดตัวกับสังคมเป็นคนแรกเมื่อปีที่แล้วว่าเป็น “กะเทยที่รักหญิง”  เธอชื่อ ปิยะธร สุวรรณวาสี หรือ “แมว” ปัจจุบันอายุ 25 ปี ทำงานด้านแปลเอกสาร
 

          “แมว” เล่าให้ฟังว่าตอนอายุ 5 ขวบ  เธอกำลังนั่งเล่นของเล่นอยู่ดี ๆ ก็เอามือจับตัวแล้วแปลกใจตัวเองว่า  “ทำไมเราจึงอยากเป็นผู้หญิง  แล้วทำไมเรารู้สึกชอบผู้หญิงได้ด้วย”  ตอนนั้นแมวรู้สึกดีกับเด็กผู้หญิงเพื่อนบ้านคนหนึ่งที่อยู่ถัดไปซึ่งแมวยังคงแปลกใจตัวเอง  ถ้าแมวพูดเรื่องนี้ให้ใครฟังคงไม่มีใครเชื่อว่าเธอรู้สึกว่าตัวเธอเป็นผู้หญิงและก็รู้สึกดีกับผู้หญิงตั้งแต่อายุ 5 ขวบ  แมวจึงปิดเรื่องนี้เป็นความลับและคิดว่าจะเปิดเผยมันเมื่อโตขึ้น
 

          และเมื่อแมวโตเป็นผู้ใหญ่อายุ 20 ปี เธอก็ทำอย่างที่คิดไว้  แมวเปิดตัวกับแม่เป็นคนแรก “แม่ครับ ... ผมอยากเป็นผู้หญิงที่ชอบผู้หญิงครับ ไม่ใช่ผู้ชายที่ชอบผู้หญิง”  ส่วนพ่อรู้หลังจากนั้นราวๆ สามเดือน แม้เหตุการณ์จะผ่านมา 5 ปีแล้ว  แต่พ่อและแม่ก็ยังคงคิดและหวังว่าสักวันหนึ่งลูกจะหายจากการเป็นกะเทย
 

          หากย้อนเวลากลับไปตั้งแต่แมวอายุ 20 ปีลงมาก่อนจะเปิดตัว แมวมีรูปลักษณ์และการใช้ชีวิตเป็นอย่างไร ?

          แมวไม่ได้เป็นแมวเหมือนทุกวันนี้  เพราะเป็นเรื่องยากซ้อน 2 เลยทีเดียว เมื่อแมวเป็นกะเทยในซ้อนที่หนึ่ง ส่วนซ้อนที่สองคือชอบผู้หญิง  ดังนั้น แมวจึงเป็นกะเทยที่ไม่ได้ชอบผู้ชายเหมือนกะเทยคนอื่น ๆ อย่างที่เกริ่นไว้

 


ปิยะธร สุวรรณวาสี ภาพจาก มติชนออนไลน์

 

          ย้อนกลับไปตอนเป็นวัยรุ่น พ่อพูดให้แมวได้ยินอยู่เสมอว่า “ถ้าพ่อรู้ว่าลูกเป็นตุ๊ดจะเตะเข้าให้”  เป็นคำพูดของพ่อที่ทำร้ายจิตใจแมวมาตลอดแต่แมวก็เก็บมันไว้  แมวโตมาแบบผู้ชายเพราะต้องเก็บเอาความเป็นกะเทยเอาไว้ข้างในแล้วทำตัวแมน ๆ ออกมาเพื่อไม่ให้พ่อรู้  มันกลายเป็นนิสัยผู้ชายที่ติดตัวแมวมาจนบัดนี้  ในใจก็คอยบอกตัวเองว่าอยากทำในสิ่งที่เป็นผู้หญิงมากกว่านี้ อยากมีกิริยาเหมือนผู้หญิงมากกว่านี้ เสียงก็อยากให้นุ่มนวลกว่านี้  แต่ยิ่งพยายามทำให้เหมือนผู้หญิงมากเท่าไรก็ยิ่งห่างไกลความเป็นตัวเองมากขึ้นเท่านั้น เหมือนฝืนเป็นคนอื่น  ถ้าคิดจะเป็นตัวเราก็ต้องเป็นในแบบฉบับของตัวเราเองไม่ใช่ไปก็อปปี้ใครเขามา  แมวจึงเป็นกะเทยห้าว ๆ ที่เรียกตัวเองว่า "ผม" มีหางเสียงว่า “ครับ” ในบางครั้ง ชอบสะสมเสื้อฟุตบอลและยังชอบดูบอลเป็นชีวิตจิตใจ
 

          ตอนอยู่ชั้นมัธยมแมวมีเพื่อนประมาณ 10 คนที่ทราบว่าแมวเป็นกะเทย  นั่นหมายความว่าเพื่อนส่วนใหญ่คิดว่าแมวเป็นเด็กผู้ชายวัยรุ่นหัวเกรียนธรรมดา ๆ คนหนึ่ง
 

          เมื่อขึ้นปี 2 อายุ 19 แมวหันมาแต่งหญิงแบบแอบ ๆ แต่งแบบแอบ ๆ คือไปแต่งหญิงนอกบ้าน เช่น ไปแต่งที่มหาวิทยาลัย ไม่สามารถแต่งจากในบ้านได้ จนอายุ 24 แมวเริ่มแต่งหญิงในบ้านอย่างเปิดเผยและเริ่มเทคฮอร์โมน  แมวตั้งเป้าไว้ว่ายังไง ๆ ต้องเปิดตัวให้ได้ภายในอายุ 25 นั่นเป็นแผนที่แมววางไว้ตั้งแต่ 5 ขวบ
 

          และแล้วสิ่งที่แมววางแผนไว้ก็เป็นจริง  อายุ 20 เปิดตัวกับพ่อแม่จนรู้กันไปหมดทั้งบ้าน  อายุ 24 เปิดตัวต่อสาธารณะรู้กันไปหมดทั้งประเทศไทยว่า “ปิยะธรเป็นกะเทยเลสเบี้ยน” ในปีที่ผ่านมา
 

          สื่อหลายสำนักเชิญแมวไปสัมภาษณ์  ทำสกู๊ปข่าว  ทำให้เรื่องราวของ “ปิยะธร-กะเทยเลสเบี้ยน” กลายเป็นประเด็นเรื่องเพศที่แปลกใหม่ ผู้คนเริ่มรู้จักและให้ความสนใจ  มีผลให้ “กลุ่มกะเทยที่ชอบผู้ชาย” รู้สึกไม่พอใจที่มี “กะเทยชอบผู้หญิง” เกิดขึ้น  “กลุ่มกะเทยที่ชอบผู้ชาย” นำเรื่องราวของแมวไปตั้งกระทู้วิพากษ์วิจารณ์อย่างเสีย ๆ หาย ๆ ในสังคมออนไลน์ว่าวิปริตซ้ำซ้อนบ้างเสื่อมเสียสถาบันกะเทยบ้าง ฯลฯ   เวลานั้นแมวรู้สึกโกรธและน้อยใจ แต่ก็พยายามนิ่งไม่โต้ตอบ
 

          ณ วันนี้เมื่อมองย้อนกลับไป  แมวบอกว่าเหมือนกับเราได้เรียนรู้ผ่านกาลเวลามากขึ้นว่าประเด็นเรื่องกะเทยเลสเบี้ยนเป็นเรื่องใหม่ในสังคมไทย และมนุษย์ยังเข้าใจผิดว่าถ้า “เพศสภาพ” เป็นอย่างไร “วิถีทางเพศ” ก็จะต้องเป็นเช่นนั้น  ทั้ง ๆ ที่มันไม่แน่นอนเสมอไปว่าต้องเป็นเช่นนั้น
 

          แมวไม่ได้มีวาระการตั้งกลุ่มเพื่อเคลื่อนไหวอะไร แมวมีเพียงกลุ่มเพื่อนกะเทยที่เป็นเลสเบี้ยนซึ่งตอนนี้มีทั้งหมด 8 คน และกะเทยไบเซ็กช่วล 1 คน  อย่างน้อยการออกมาเปิดตัวของแมวก็ทำให้กะเทยเลสเบี้ยนคนอื่น ๆ ได้รู้ว่าพวกเขาไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว

 

----------------------------------------------------------------

 

                หลังจากที่อ่านเรื่องราวของบุคคลทั้ง 3 ท่านไปแล้ว  มีประเด็นที่ชวนให้คุณผู้อ่านร่วมครุ่นคิดไปด้วย 7 ประเด็น

 

ประเด็นที่ 1  กะเทยรักผู้หญิง “สิ่งที่เป็นไปได้”

                การมีตัวตนทางเพศเป็นกะเทยไม่ได้หมายความว่าต้องชอบผู้ชายเสมอไป   “ความพึงพอใจทางเพศ” (ชอบชายหรือหญิง) ไม่จำเป็นต้องเป็นไปตาม “ตัวตนทางเพศ” ก็ได้    ดังนั้น กะเทยรักผู้หญิงจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้
               

                กรณีของ อ.ยิ่งศักดิ์อาจจะแตกต่างจากลิซ่าตรงที่ความพึงพอใจทางเพศของ อ.ยิ่งศักดิ์ไม่ได้เหมือนกับของคุณลิซ่าซึ่งชอบผู้หญิง  แต่ความรักที่ อ.ยิ่งศักดิ์มีต่อภริยาซึ่งเกิดขึ้นหลังจากใช้ชีวิตร่วมกันก็เป็นสิ่งที่เป็นไปได้  ความรักใคร่ความพึงพอใจเป็นสิ่งที่เลื่อนไหลสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกคน  ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่

                ผู้หญิงบางคนไม่ได้ชอบผู้ชายแมน ๆ แต่ชอบผู้ชายอ่อนหวาน  คุณเมย์ก็ชอบ อ.ยิ่งศักดิ์ตรงที่เป็นผู้ชายอ่อนหวาน นุ่มนวล

                ถึงแม้ อ.ยิ่งศักดิ์จะยอมตามรูปแบบของสังคมด้วยการแต่งงานใช้ชีวิตคู่กับผู้หญิงแทนที่จะใช้ชีวิตคู่กับเพศวิถีที่อาจารย์พึงพอใจก็ถือเป็นการเคารพการตัดสินใจของอาจารย์  เพราะชีวิตของใครไม่มีใครออกแบบได้นอกจากตนเองจะออกแบบชีวิตตนเอง  ทุกคนมีชีวิตที่ต้องรับผิดชอบด้วยตนเอง  และค้นหาความพึงพอใจที่เหมาะสมของตนเอง
 

                “การข้ามเพศของแต่ละคนมีหลายระดับ”  บางคนข้ามเพียงแค่การแต่งกาย  บางคนข้ามเพศวิถี บางคนข้ามไปจนสุดคือผ่าตัดแปลงเพศไปเลย  บางคนข้ามเพศไปแล้วก็ไปรักกับ “เพศเดียวกัน” ที่ตนเองเป็น

                กรณีของ อ.ยิ่งศักดิ์อาจจะเรียกได้ว่าข้ามกรอบสังคมที่มองว่ากะเทยต้องอยู่กินกับผู้ชายซึ่ง อ.ยิ่งศักดิ์เล่าว่าก่อนแต่งงานกับคุณเมย์มีเพื่อนมากระซิบเช่นกันว่าจะดีหรือแต่งงานกับผู้หญิงเพราะคิดว่า อ.ยิ่งศักดิ์กำลังหลอกลวงคุณเมย์

 

 

ประเด็นที่ 2  ทำขนม  ทำกับข้าว  เย็บปักถักร้อย  ใคร ๆ ก็ทำได้ไม่เฉพาะเพศหญิง

                เราควรเปลี่ยนความคิดกันใหม่ว่างานบ้านการเรือน  ทำกับข้าว  เย็บปักถักร้อย  ทำขนม  ใคร ๆ ก็ทำได้  งานบ้านการเรือนไม่ได้จำกัดเฉพาะเพศหญิง  เพศชายก็สามารถทำได้   เราควรหันมาตั้งคำถามกันใหม่ว่าการงานต่าง ๆ มันมีเพศสภาพจริงหรือ ?   หรือสังคมและตัวเราคิดกันไปเองว่าการงานมีเพศสภาพของมันที่ต้องถูกจับคู่กับเพศสภาพว่างานนี้สำหรับเพศหญิง  งานนั้นสำหรับเพศชาย  งานโน้นสำหรับกะเทย ?
 

                เพราะเราคิดว่าการงานมีเพศสภาพ  พอผู้ชายไปเรียนเย็บปักถักร้อยหรือไปเรียนทำขนมเราก็กลัวว่าเขาจะกลายเป็นเกย์กะเทย  กลายเป็นว่านอกจากเราจะจำกัดงานบ้านการเรือนให้กับเพศหญิงแล้วเรายังหวาดกลัวคนเป็นกะเทยอีกต่างหาก 

                เราไม่ควรจำกัดงานบ้านการเรือนไว้กับเพศใดเพศหนึ่ง  และไม่ควรรังเกียจว่าใครจะเป็นกะเทย การเป็นกะเทยไม่ใช่เรื่องเสียหาย

 

 

ประเด็นที่ 3  พ่อกะเทยกังวลเรื่องลูกและสังคมจะไม่ยอมรับ “พ่อเป็นกะเทย”   

                สิ่งที่พ่อกะเทยกังวลคือความกลัวว่าลูกจะไม่ยอมรับในสิ่งที่พ่อเป็น  หรือกลัวลูกจะอายที่พ่อเป็นกะเทย หรือกลัวลูกมีปมด้อยที่พ่อเป็นกะเทย  อ.ยิ่งศักดิ์และคุณลิซ่ามีความแตกต่างกัน อาจเป็นเพราะยุคสมัยของ อ.ยิ่งศักดิ์กะเทยยังไม่ได้รับความเข้าใจเหมือนสมัยนี้อาจารย์จึงรู้สึกกังวลใจ  ในขณะที่ลิซ่าไม่ได้รู้สึกกังวลเพราะมั่นใจว่าลูกยอมรับได้แน่นอน 

 

                การที่ลูกจะยอมรับพ่อกะเทยได้หรือไม่เป็นเรื่องของการให้ความอบอุ่นหรือการปฏิบัติต่อลูก  จะเห็นว่าในที่สุดลูก ๆ ของ อ.ยิ่งศักดิ์มิได้มีปัญหากับพ่อที่เป็นกะเทย  มีการเปิดตัวออกสื่ออย่างเป็นทางการ  ในสังคมออนไลน์ไม่มีใครวิพากษ์วิจารณ์ในทางรุนแรงเสียหาย  แต่เราก็ต้องเข้าใจว่า อ.ยิ่งศักดิ์อยู่ในชนชั้นระดับไหน (Class)อาจารย์เป็นคนมีชื่อเสียง  ส่วนลูกทั้งสองคนก็จบปริญญาโทซึ่งจัดอยู่ในระดับการศึกษาที่สูง  ดังนั้นชนชั้นและการศึกษาทำให้การยอมรับต่อเรื่องนี้ของสังคมไทยเป็นไปได้ไม่ยากนัก    

 

                ทั้ง อ.ยิ่งศักดิ์และคุณลิซ่า ต่างก็มี “ความรัก”  คือ การดูแลเอาใจใส่ลูกอย่างดี และมอบความรักให้อย่างเต็มหัวใจ  สิ่งนี้ถือเป็นสิ่งที่ทำให้ลูกรักและเข้าใจพ่อโดยไม่สนใจว่าพ่อจะมีเพศสภาพเป็นอย่างไร 

 

                บางทีเรื่องลูกไม่ยอมรับพ่อเป็นกะเทยอาจเป็นเรื่องที่สังคมคิดและวิตกจริตกันไปเองมากกว่า 

 

 

ประเด็นที่ 4  “พ่อกะเทย” ถูกกดดันว่าต้องเป็นพ่อที่ดีทำหน้าที่ได้สมบูรณ์แบบกว่าพ่อทั่วไป  

                ข้อนี้เป็นผลมาจาก ประเด็นที่ 3  คือ เมื่อเราคิดว่าสังคมไม่ยอมรับพ่อกะเทย  พ่อกะเทยก็ต้องทำตัวเป็นพ่อที่ดีมีคุณภาพและอาจจะต้องมีคุณภาพ “มากกว่าปกติ”  เพราะการเป็นกะเทยเหมือนกับถูกสังคมตีตราไปแล้วว่าเป็นเพศที่ไม่ปกติ  เมื่อเป็นเพศที่ไม่ปกติก็ต้องพยายามทำตัวเองให้มีคุณภาพเทียบเท่าหรือมากกว่าพ่อทั่ว ๆ ไป  เหมือนอย่างที่ อ.ยิ่งศักดิ์ให้สัมภาษณ์ว่า  “เราต้องขยัน  ตั้งใจทำงาน  สร้างชื่อเสียง  ทำทุกอย่าง  หน้าที่ของเรา ๆ กล้าพูดได้เลยว่าผู้ชายแมน ๆ ที่เขามีลูกบางคนอาจทำหน้าที่พ่อไม่ดีเท่ายิ่งศักดิ์”

 

                โดยปกติแล้วการเป็นพ่อแม่ก็ต้องลำบากตรากตรำเพื่อลูกอยู่แล้ว  แต่การเป็นพ่อกะเทยอาจเป็น“เส้นฟางแสนหนัก”  อีกเส้นหนึ่ง ที่ทำให้พ่อกะเทยรู้สึกว่าตนเองต้องทำอะไรเป็น “สองเท่า” จากปกติเพื่อให้สังคมยอมรับ  ทำไมจึงมีความคิดลักษณะนี้เกิดขึ้นกับพ่อที่เป็นกะเทย 

               

                จะเป็นไปได้หรือไม่ที่พ่อกะเทยก็สามารถเลี้ยงดูลูกไปตามปกติ  ไม่ต้องกดดันตัวเองให้ลำบาก  ไม่ต้องไปแข่งขันกับใคร   กรณีของ “ลิซ่า”  ถือเป็นกรณีศึกษาของการเลี้ยงลูกด้วยความไม่กดดัน  สังเกตจากคำให้สัมภาษณ์ของลิซ่าว่า ลิซ่าไม่ได้กังวลว่าลูกจะไม่ยอมรับเธอ เพราะลิซ่าเชื่อมั่นว่าการใกล้ชิดลูกเอาใจใส่ลูกจะทำให้ลูกอบอุ่นและเป็นวิธีการสร้างสายใยระหว่างพ่อกับลูกที่ดีโดยไม่เกี่ยวว่าพ่อจะเป็นเพศอะไร 

                สิ่งที่ลิซ่ากังวลกลับเป็นเรื่องสังคมไม่ยอมรับมากกว่า  แต่เรื่องนี้ก็กลายเป็นเรื่องที่ไม่น่ากังวลใจอีกต่อไปเพราะการออกมาเปิดตัวของลิซ่าต่อสื่ออย่างน้อยก็ถือเป็นการให้การศึกษา (Education) กับสังคม

 

                บางทีความกังวลว่าลูกจะไม่ยอมรับพ่อกะเทย  ลูกจะมีปัญหา  ลูกจะถูกสังคมรังเกียจ  เป็นสิ่งที่พ่อกะเทยคิดและกังวลไปเองหรือไม่ ?    รวมทั้งเป็น “อวิชชา” หรือ “ความไม่รู้” ของสังคม เมื่อสังคม “ไม่รู้” การออกมาเปิดตัวของทั้ง 3 ท่านก็ถือว่าเป็นการให้  “ปัญญา”  กับสังคมวิธีหนึ่ง

                สรุปว่าความกังวลว่าสังคมจะไม่ยอมรับเด็ก ๆ ที่มี “พ่อเป็นกะเทย”  อาจเป็นแค่ความวิตกจริตที่คิดกันไปเองก็ได้

 

 

ประเด็นที่ 5 เด็กกะเทยเผชิญสิ่งเดียวกันกับที่พ่อกะเทยต้องเผชิญ

                มีความละม้ายคล้ายคลึงกันระหว่างกรณี  ‘เด็กที่เป็นกะเทย’  กับ  ‘พ่อที่เป็นกะเทย’  เด็กกะเทยกลัวพ่อแม่ไม่ยอมรับฉันใด  พ่อกะเทยก็กลัวลูกไม่ยอมรับฉันนั้น  เด็กกะเทยต้องทำดีเป็นสองเท่าจากปกติ ต้องเรียนให้เก่ง ทำอะไรต้องเป็นที่หนึ่งฉันใด  พ่อกะเทยก็ต้องเป็นพ่อที่ดีถึงสองเท่า  ต้องประสบความสำเร็จเพื่อลูกจะได้ไม่อับอายชาวบ้าน ต้องมีชื่อเสียง หรืออย่างน้อยต้องถีบตัวให้มีฐานะการเงินที่ดีเพื่อสนับสนุนให้ลูกได้มีหน้ามีตาฉันนั้น

 

                ความสำเร็จของกะเทยเป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันมานานว่ามาจากความกดดันของสังคมที่มีต่อกะเทยหรือเปล่า  จึงส่งผลให้พวกเขาต้องทำตัวเองให้เก่งจนประสบความสำเร็จเพื่อให้สังคมยอมรับ  ทั้งนี้ทำให้เกิดทัศนคติที่ว่า “กะเทยทำงานเก่ง  กะเทยมีพรสวรรค์ในการทำงาน” 

                จึงเป็นเรื่องที่ชวนตั้งคำถามว่าตกลงกะเทยมีพรสวรรค์จริง ๆ หรือเป็นเพราะสังคมสร้างความกดดันให้พวกเขาต้องกัดฟันจนกลายเป็นคนเก่งมีพรสวรรค์กันแน่ ?

 

                ในที่สุดเด็กกะเทยกับพ่อกะเทยอาจเป็นคน ๆ เดียวกันก็ได้ หมายความว่าตอนเป็นเด็กก็ต้องทำตัวให้พ่อแม่ยอมรับด้วยการเรียนให้เก่งและสร้างสรรค์ในทุก ๆ ด้าน  พอโตขึ้นมีครอบครัวมีภริยามีลูกก็ต้องทำเพื่อลูกเป็นสองเท่า คือ ทำให้ลูกยอมรับให้ได้แล้วยังต้องทำให้สังคมยอมรับ ต้องเป็นพ่อที่ดีและประสบความสำเร็จ

 

                จะเห็นได้ว่าปัญหาไม่ได้มาจากไหน แต่ปัญหามาจาก “มุมมองของสังคม” ที่มีต่อกะเทยนั่นเอง ถ้าสังคมเข้าใจ ให้การยอมรับ  ไม่ไปสะกิด “ความเป็นกะเทย”  ให้เกิดความแตกต่าง  กะเทยก็คงไม่ต้องเผชิญกับอุปสรรคและความกดดันในชีวิตเช่นนั้น  เพราะความเป็นจริงก็คือกะเทยไม่ได้เก่งกันไปหมดทุกคน  เรายังมีกะเทยที่ไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรเลยในชีวิต  และยังมีกะเทยที่ไม่เก่งไปหมดทุกด้าน

 

                เรามาช่วยกันเปลี่ยนทัศนคติของสังคมที่มีต่อกะเทยไปสู่ความเข้าใจและยอมรับกะเทย  เพื่อช่วยแบ่งเบาความกดดันของกะเทย  พวกเขาจะได้ไม่ต้องเหนื่อยตั้งแต่วัยเด็กจนกระทั่งโตเป็นพ่อคนกันดีกว่า  โดยเริ่มต้นเปลี่ยนมุมมองของตัวเราก่อนเป็นอันดับแรก 

 

 

ประเด็นที่ 6  กะเทยทุกคนผ่านการเปิดตัวที่ไม่ง่าย

                มิใช่ว่าการเปิดตัวตนว่าเป็นกะเทยจะกระทำกันได้ง่าย ๆ อย่างน้อยกะเทยต้องผ่านการปิดบังตัวตนกันมาทุกคน  ไม่ใช่กะเทยทุกคนจะสามารถแต่งหญิงได้ตามใจชอบทุกเวลาทุกโอกาส  All Day All Time

 

                สิ่งที่ทั้ง 3 ท่าน อ.ยิ่งศักดิ์  ลิซ่า  และแมว มีเหมือนกันก็คือการปิดบังซ่อนเร้นในช่วงแรกของชีวิต  อ.ยิ่งศักดิ์ต้องปิดบังคุณพ่อเรื่องทำขนม  คุณพ่อไม่ชอบให้ลูกชายเรียนทำขนมเพราะการทำขนมเป็นเรื่องของผู้หญิงจะทำให้ลูกชายเป็นกะเทย  อ.ยิ่งศักดิ์จึงต้องแอบทำขนมตอนที่คุณพ่อนอนหลับ แต่ในที่สุด อ.ยิ่งศักดิ์ก็กลายเป็นพ่อครัวและช่างทำขนมที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ  ถึงอย่างไรพ่อก็หลีกเลี่ยงการเป็นกะเทยของลูกชายไม่ได้  อ.ยิ่งศักดิ์มีบุคลิกที่ใคร ๆ ก็รู้ว่าแตกต่างจากผู้ชายทั่วไปอย่างไร

 

                ลิซ่าต้องปิดบังตัวตนตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่  การปิดบังตัวตนของลิซ่าเป็นถึงขนาดอยากเล่นกับผู้หญิงแต่ก็ต้องห้ามตัวเองไม่ไปเล่นกับผู้หญิง เพราะกลัวคนจะรู้ว่าเป็นกะเทย  ลิซ่าจึงมีหนังสือเป็นเพื่อน  เมื่อเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัยอยากแต่งกายอารมณ์หญิงแต่ก็ต้องเบรคตัวเองเพราะแต่งออกมาแล้วไม่สวย จนกระทั่งมีลูกหนึ่งคนจึงตัดสินใจเป็นตัวของตัวเอง

 

                แมวปิยะธรก็เช่นกัน กว่าจะได้แต่งหญิงก็ต้องรอจนอายุ 19  แต่ก็ต้องไปแต่งนอกบ้านแบบแอบ ๆ   กว่าแมวจะได้แต่งหญิงจริง ๆ ก็คืออายุ 24 

 

                ไม่ใช่ว่าบุคคลทั้ง 3  ท่านจะสามารถเป็นตัวของตัวเองได้อย่างง่ายดาย  กะเทยที่เราเห็นว่าเขาสามารถแต่งหญิงได้ตลอด 24 ชั่วโมงนั้นเขาก็ต้องผ่านอะไรมาเยอะ  ยังมีกะเทยอีกหลายคนที่ยังต้องออกมาแต่งหญิงนอกบ้าน จะกลับบ้านแต่ละครั้งก็ต้องเปลี่ยนชุดก่อนเข้าบ้าน   บางคนไม่มีโอกาสแต่งหญิงเลย  บางทีผู้ชายผมเกรียนในชุดทหารที่เดินผ่านเราไปเมื่อกี้เขาอาจเป็นกะเทยที่ไม่มีทางเลือกในการแต่งหญิงก็ได้

 

                เราควรหันมาชื่นชมพวกเขาที่กล้าเปลี่ยนแปลงตัวเอง  กล้าที่จะแต่งตัวในแบบที่ตัวเองเป็น

หากคุณเป็นคนใกล้ชิด เป็นคนในครอบครัว  คุณควรสนับสนุนพวกเขา  อย่าปล่อยให้พวกเขาเดินอยู่เพียงลำพัง

                ถ้าคุณเป็นเพื่อน  คุณควรมีคำพูดที่ให้กำลังใจเพื่อน ไม่ตั้งคำถามที่ทำให้เพื่อนเกิดการชะงักเมื่อเพื่อนต้องการเป็นตัวของตัวเอง  แค่นี้ก็ถือว่าคุณเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดสำหรับเขา

 

 

ประเด็นที่ 7   เครื่องแบบนักเรียนปิดโอกาสความเป็นตัวตนของนักเรียนกะเทย

                เครื่องแบบนักเรียนเป็นปัญหาต่อเพศสภาพของเด็ก ๆ ที่เป็นกะเทยอย่างสูง

กว่าลิซ่าและแมวจะมีโอกาสเลือกเป็นตัวของตัวเองได้ก็ต่อเมื่อเข้าสู่การเรียนระดับอุดมศึกษาซึ่งเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ไว้ผมยาวและให้โอกาสการแต่งกายที่เป็นอิสระมากขึ้น

               

                หากโรงเรียนมัธยมไทยมีทางเลือกให้เด็กไม่จำเป็นต้องสวมเครื่องแบบไปโรงเรียน ลดความเคร่งครัดต่อเรื่องทรงผม  ก็จะทำให้เด็กที่เป็นกะเทยอย่างลิซ่าหรือแมวมีโอกาสต่อการตัดสินใจเลือกการแสดงออกทางเพศสภาพผ่านการแต่งกายที่เร็วขึ้น  ไม่ต้องรอจนเข้ามหาวิทยาลัยซึ่งล่าช้าเกินไป

 

                พวกเขาควรมีโอกาสเลือกแสดงออกตัวตนทางเพศสภาพผ่านเนื้อตัวร่างกายตั้งแต่เริ่มเข้าสู่วัยรุ่น  เพราะนี่ถือเป็นพัฒนาการในเรื่องตัวตนที่พวกเขาควรมีโอกาสเข้าไปสำรวจตรวจสอบความเป็นตัวเอง

 

                การปล่อยให้พวกเขาสำรวจตัวตนในวัยที่โตจนเข้ามหาวิทยาลัยไปแล้วกลายเป็นความล่าช้าต่อพัฒนาการความเป็นตัวตนของคนที่เป็นกะเทยไปอย่างไม่น่าจะเกิดขึ้น

 

                                ---------------------------------------------------------------

 

                จากนี้ไปประเด็นเพศวิถีของมนุษย์ที่ซับซ้อนอื่น ๆ จะเผยตัวออกมามากขึ้นเป็นลำดับ  ซึ่งประเด็นเหล่านี้มนุษย์เราอาจมีการประพฤติปฏิบัติกันมานานแล้วเพียงแต่ไม่มีการเปิดเผยให้รับรู้  เช่นเดียวกับ  “กะเทยเลสเบี้ยน”  ก็อาจจะมีมานานแล้วแต่ไม่เป็นที่รับรู้ของสังคม

 

                คนในสังคมและเจ้าหน้าที่หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับตัวบทกฎหมาย การปกครอง  การบริหาร  โรงเรียน ครู อาจารย์  พ่อแม่  บุคคลในครอบครัว  เพื่อนร่วมงาน  เพื่อนร่วมชั้นเรียน  เพื่อนบ้าน  ผู้นำศาสนา  จำเป็นต้องลึกซึ้งและมีความเข้าใจอย่างเฉลียวฉลาดกับประเด็นเรื่องเพศ เพศสภาพ และเพศวิถี   รู้จักที่จะยืดหยุ่นและผ่อนปรน

                อย่างน้อยเพื่อจะได้ไม่เป็นการทำร้ายคนอื่น ๆ ในสังคม

 

                ทั้ง 7 ประเด็นที่วิเคราะห์มาทั้งหมดนี้น่าจะทำให้เราเห็นอะไรบางอย่างที่ซ่อนเร้น  อันเป็นประเด็นที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า  ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นเพราะเรา ไม่ยอมรับกะเทย นั่นเอง

 

                ”หากสังคมของเราไม่มีอคติกับกะเทย  ไม่มีอคติต่องานบ้านการเรือนเย็บปักถักร้อย  ไม่มีอคติกับการแสดงออกทางเพศสภาพ  ไม่มีอคติต่อเพศวิถีที่ข้ามอัตลักษณ์  ทั้งสามท่านก็ไม่จำเป็นต้องออกมาเปิดตัวกับสังคมก็ได้”



ความคิดเห็นที่  3

บุคคล 3 ท่าน ก็ให้ความรู้สึกไป 3 แบบ ไม่มีใครเหมือนกันเลย

Petroi   (27 พฤษภาคม 2559  เวลา 11:22:27)

ความคิดเห็นที่  2

ฉันมีความต้องการ และอยากแต่งตัว ด้วยเสื้อผ้าผู้หญิง อยากเป็นผู้หญิงมาก เห็นผู้หญิงแต่งตัวสวย เลยมีความคิดอยากแต่งแบบผู้หญิง ฉันชอบใส่กระโปรงมากกว่าใส่กางเกง ชอบใส่เสื้อผ้าของผู้หญิทุกชิ้น ชอบการแต่งหน้า ชอบสร้างสีสรรบนใบหน้า อยากมีหน้าอกแบบผู้หญิง มีผิวที่เรียบเนียบ ฉันชอบใส่กระโปรงทุกรูปแบบ ยิ่งชุดราตรียาวชอบมาก ฉันใส่ทุกอย่างที่ ผู้หญิงทุกคนต้องใส่ ในความคิดเห็นในความชอบเป็นผู้หญิง
1.ชอบใส่กระโปรงทุกรูปแบบ ยิ่งเป็นชุดเดรส ชุดแซก หรือชุดราตรี ชอบมาก
2.ชอบใว้ผมยาวมากกว่าผมสั้น
3.ชอบการสร้างสีสรรบนใบหน้า เขียนคิ้ว แต่งตา ทาปาก
4.อยากมีหน้าอกแบบผู้หญิง ชอบใส่ยกทรง
5.ชอบชุดชั้นในทุกชิ้น ที่ผู้หญิงใช้ใส่
6.อยากแต่งตัวสวยงาม ด้วยอาภรณ์ หลายหลาก เสื้อผ้าหลายสีสรร
6.อยากเป็นผู้หญิง มากกว่าผู้ชาย ที่ไม่สามารถแต่งแบบผู้หญิงได้
7.แม้นแต่ชุดนอน ก็ใส่กระโปรงชุดนอนตลอด ชอบผ้านิ้มพริ้วดี
  รู้อยู่ว่าเครื่องแต่งกาย ของผู้หญิง บางอย่างมีราคาแพงมากๆ ก็ยังน่าใช้อยู่ ไม่มีความคิดจะไปขโมยของเขา อยากได้หาเงินซื้อเอง กระโปรงชุดสั่งตัดเอา ความพอใจมาที่1 เรื่องราคามาที่3 ฉันอยากเป็นผู้หญิงมาก อยากเป็นผู้เหญิง 100% อยากแต่งตัวสวยสวย

Napapit   (23 พฤษภาคม 2559  เวลา 11:05:42)

ความคิดเห็นที่  1

เป็นคนดีที่ไม่เบียดบังใครก็โอเคนะ

ครูขวัญ   (5 พฤษภาคม 2559  เวลา 21:36:26)